ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2550 วันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตใน Cork ประเทศ Ireland โดยการเดินทางมา Ireland นี้นับเป็นครั้งแรกที่เราต้องเดินทางโดยเครื่องบินคนเดียว ซึ่งระดับจิตใจในตอนนั้นยังจำได้ว่าไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ ทั้งตื่นเต้น กังวล ง่วงนอน หิว ระคนกันไป ความรู้สึกเหล่านี้ถาโถมเข้ามาหาเราภายในเวลาเดียวกัน โดยตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 14 ชั่วโมงบนเครื่องบินนั้น เรียกได้ว่าแทบจะนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว หิวก็กินไม่ได้ นอนก็นอนไม่หลับ ทรมานสุดๆ จากเด็กต่างจังหวัด หลานย่าโม ต้องมาใช้ชีวิตในต่างแดน

จากวันนั้นนับจนถึงวันนี้ ประสบการณ์ชีวิตที่ได้มานั้นนับว่ามากมายจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังนับว่าเรานั้นเป็นคนที่โชคดีมากๆอยู่เหมือนกัน พอเรียนจบปริญญาตรี คณะเกษตรศาสตร์ (ปฐพีศาสตร์) ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็มีโอกาสได้มาศึกษาต่อปริญญาเอกที่ คณะเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุระนารี (มทส.) และได้รับทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) จากคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการวิจัย โดยทุนนี้ดีมากๆตรงที่นอกจากเค้าจะจ่ายเงินค่าศึกษาเล่าเรียนให้แล้ว ยังให้เงินเดือนใช้ทุกเดือน เดือนละ 8,000-10,000 บาท ทำให้ไม่ต้องรบกวนเงินจากพ่อแม่ นอกจากนี้นักศึกษาที่ได้รับทุนนี้เกือบทุกคนจะต้องมาทำการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในต่างประเทศด้วย (สโลแกนของ คปก. คือ เรียนปริญญาเอกฟรี มีเงินใช้ ได้ไปต่างประเทศ) ซึ่งก็แล้วแต่ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาเรานั้นมีความร่วมมือกันกับอาจารย์ที่ปรึกษาต่างประเทศในประเทศไหน

ในกรณีของเรานั้นต้องมาทำวิจัยเพิ่มเติมที่คณะจุลชีววิทยา University College Cork เป็นเวลา 8 เดือน โดยส่วนตัวแล้ว การใช้ชีวิตในเมือง Cork นับว่าลำบากมากกว่าตอนอยู่ที่เมืองไทย นับตั้งแต่เรื่องภาษา ถึงแม้ว่าการเรียนที่ มทส นั้นจะต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันในเวลาเรียนก็ตาม แต่พอมาอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่าหูบอดกันเลยทีเดียว เรื่องอาหารการกินนั้น ก็แตกต่างไปจากเมืองไทย ตอนอยู่ที่ไทยอยากกินอะไรก็ได้กิน แต่พอมาอยู่ที่นี่อยากกินอะไรก็ต้องทำเอาเอง แถมการทำอาหารของเราก็จัดได้ว่า แย่สุดๆ ผัดบร็อคโคลี่หมูนับว่าเป็นอาหารจานแรกที่ทำเอง แถมการทำครั้งนั้นยังลืมใส่น้ำมันหอยกับซีอิ้วด้วย เพื่อนๆคงคิดออกว่ารสชาติมันจะแย่ขนาดไหน กว่าจะทำอาหารให้พอกินได้ก็ต้องค่อยๆเรียนรู้กันไป ลองถูกลองผิดอยู่หลายครั้ง ส่วนเรื่องอากาศที่นี่

ก่อนหน้าที่จะมาที่ Ireland นั้นก็มีคนเตือนอยู่เหมือนกันว่าอากาศที่นี่เลวร้ายสุดๆ เราก็คิดว่ามันจะเลวร้ายซักเท่าไรกันเชียว แต่พอเจอเข้ากับตัวเองแบบ 3 วันดี (แบบหม่นๆ) กับ 4 วันฝนตก (แบบครึ้มๆ) แถมลมก็แรงมากๆ แรงขนาดว่าเวลาเดินแล้วเจอลมพัดทีนึงอาจจะทำให้เดินเซ เดินเป๋ไปตามลมได้นั้น ก็ทำให้เข้าใจอากาศที่นี่ได้อย่างกระจ่างแจ้ง แต่ที่แปลกอย่างนึงคือ การทำวิจัยที่นี่นั้นแทบจะไม่แตกต่างไปจากการทำวิจัยที่เมืองไทยเลย เครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่าง มทส. มีหมด ทำให้รู้สึกทำงานง่ายพอสมควร (เราจึงคิดเอาเองว่าวิทยาศาสตร์เป็นภาษาสากล)

สิ่งที่ประทับใจเมื่อมาอยู่ที่นี่อย่างนึงคือเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนในแลปเราส่วนใหญ่เป็นคน ไอริช ซึ่งนิสัยดีมากๆ มักจะคอยถามไถ่เราเสมอๆ ว่าเราเป็นยังไงแล้วมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า เป็นคน friendly ซึ่งทำให้เราเข้ากับเค้าได้ง่าย ส่วนเพื่อนชาติอื่นๆก็ดีกับเราเหมือนกัน โดยนอกจากจะมีเพื่อนเป็นคน ไอริช แล้วเรายังมีเพื่อนเป็นคนจีน ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์ อิตาลี เซอร์เบีย อังกฤษ เยอรมัน โปแลนด์ ศรีลังกา นับได้ว่าเป็นแลปนานาชาติมาก แต่สิ่งที่เราประทับใจสุดๆ คือเพื่อนๆคนไทย ซึ่งสนิทสนม แน่นแฟ้น กลมเกลียวกันมากๆ ประมาณว่า เธอไปไหนฉันไปด้วย เธอกินอะไรฉันกินด้วย ถ้าอยากให้ช่วยอะไร ก็ขอให้พูดขึ้นมาแค่คำเดียว เพื่อนๆก็จะช่วยกันอย่างเต็มที่ (รวมถึงการช่วยกันทำเวปเพจด้วยรึเปล่าน้า) แบบว่าน่ารักสุดๆ (ที่เขียนมานี้แบบว่าประทับใจจริงๆ)

ถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจะมีช่วงเวลาเหงาๆ มีช่วงเวลาคิดถึงบ้านอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกไปถึงภาระกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงแล้วก็จะทำให้ช่วงเวลานั้นลดน้อยลงไปเอง และเมื่อนับว่ามีเวลาเหลืออยู่ที่นี่อีกแค่ไม่กี่เดือนแล้วความรู้สึก busy ก็เข้ามาแทนที่ทันที แต่ทำไมจากวันนั้นจนบัดนี้ซึ่งก็นับเป็นเวลาปีครึ่งกว่าๆแล้วแต่แลปก็ยังไม่เสร็จซักที แลปไม่เสร็จก็ยังไม่จบซักที ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย !!!!